Sunday, November 8, 2009

Auschwitz



Auschwitz Concentration Camp ค่ายกักกันเอาชวิตซ์ โดยคำว่า "เอาชวิตซ์ ( Auschwitz )" เป็นภาษาเยอรมัน ที่ใช้เรียกเมือง Oswiecim ที่อยู่ทางเหนือของโปแลนด์ ( Poland ) ที่ถูกยึด และผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเยอรมัน เอาชวิตซ์ เป็นชื่อเรียกรวมของค่ายกักกันขนาดใหญ่ 2 แห่ง และค่ายย่อยอีก 36 แห่ง ค่ายเอาชวิตซ์ ถูกใช้เป็นที่สังหารหมู่ชาวยิว และยิปซี เพียงเพราะ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) เห็นว่าพวกนี้ ไม่ มีผิวสีขาว ผมสีทอง และนัยน์ตาสีฟ้าเหมือนตน ซึ่งเป็นสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ จึงทำการรวบรวมชาวยิว และชาวยิปซี จากทุกพื้นที่ในอณานิคมของตน ส่งมาทำลายที่ค่ายเอาชวิตซ์ กว่า 1.1 ล้านคนที่ต้อง ตาย ในค่ายเอาชวิตซ์

ค่ายเอาชวิตซ์ ประกอบไปด้วย



แผนที่ เอาชวิตซ์
  • ค่ายเอาชวิตซ์ 1 ถูกสร้าง เดือน มิถุนายน 1940 และถือเป็นค่ายหลัก เพื่อเป็นที่กักกัน ชาวโปแลนด์ ( พื้นที่ค่าย คือ จุดสี่เหลี่ยมสีส้มเล็กอันกลาง )
  • ค่ายเอาชวิตซ์ 2 หรือ Birkenau ถูกสร้างใน เดือนตุลาคม 1940 เพื่อช่วยบรรเทาความแออัดของ ค่ายเอาชวิตซ์ 1 สร้างเพื่อเป็น โรงฆ่า ( Extermination Camp ) โดยเฉพาะ สำหรับชาวยิว ( ที่ตั้งค่าย คือ พื้นที่สีส้มอันใหญ่ ด้านซ้าย )
  • ค่ายเอาชวิตซ์ 3 หรือ Birkenau ส่วนนี้จะเป็นค่ายย่อยประมาณ 36 ค่าย ที่อยู่กระจากยตัวอยู่โดยรอบ ผู้ที่ถูกกักกันอยู่ที่นี้โดยมากจะเป็น พวกนักโทษ และชาวโปแลนด์ อาจจะเป็นเชลยที่ค่อนข้างโชคดีกว่าพวกที่ถูกกักกันไว้ที่ ค่ายเอาชวิตซ์ 1 และ 2 เนื่องจากจะถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่ค่อยมี ชาวยิว เนื่องจากชาวยิวจะถูกกักไว้ที่ค่าย 1 และ 2 เพื่อรอการทำลายทิ้ง ( ที่ตั้งค่าย คือ สี่เหลี่ยมสีส้มด้านขวามือ )
ไปทัวร์ ค่ายเอาชวิตซ์ 1 กัน





1 Commandant House

บ้านพักของผู้บัญชาการ ค่ายเอาชวิตซ์ ซึ่งผู้บัญชาการค่ายคนแรกคือ Rudolf Höss จนกระทั้งถึง ปี 1943 จึงเปลี่ยนมาเป็น Arthur Liebehenschel และ Richard Baer ตามลำดับ และบาปกรรมก็ติดจรวด ภายหลังเยอรมันแพ้สงคราม Rudolf Höss ถูกกองทัพอังกฤษจับไ้ด้จาก การที่ภรรยาของเขาเป็นผู้ชี้ที่หลบซ่อนตัวของเขาให้แก่กองทัพอังกฤษ และเขาถูกตัดสินประหารชีวิต โดยการแขวนคอที่หน้าค่าย เอาชวิตซ์นั้นเอง

รูปซ้าย รูปถ่่ายนาย Rudolf Höss รูปขวาบ้านพักของ Rudolf Höss ที่อยู่ข้างค่ายกักกันเอาชวิตซ์

2 Commandant Offiec

เป็นสถานที่ทำงานของเหล่านายทหารระดับสูงของค่ายเอาชวิตซ์

3 administration office

เป็นสถานที่ทำงานของทหารเยอรมันระดับล่างลงมา

4 SS hospital

โรงพยาลของหน่วยเอส.เอส. สำหรับพวกนาซีนั้นมันคือโรงพยาบาล ที่แสนดี สะดวก สบาย ในการรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย แต่สำหรับเหล่าเชลย คนพิการ และชาวยิว มันคือ แห่งรวม ผีห่าซาตาน จากนรก ที่อยู่ในคราบของ หมอ โดย หมอเหล่านี้จะไปทำการทอลอง ที่เหี้ยมโหด ณ บล็อก 10


เหล่าทูตมรณะ ในคราบของ หมอ


   
โจเซฟ เมงเกเล

นายแพทย์โจเซฟ เมงเกเล(Dr.Josef Mengele )

นายแพทย์หนุ่ม รูปงาม แต่จิตใจดุจดัง ปีศาจ ผู้จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมิวนิก ( Munich University ) ด้วยวัยเพียง 24 ปี เขาเป็นสมาชิกพรรคนาซีเมื่องปี ค.ศ. 1937 ได้รับฉายาว่า เทพแห่งความตาย ( Angel of Death )เนื่องจากเป็นผู้ตัดสินว่าเชลยที่ถูกขนส่งมาโดยทางรถไฟ เมื่อลงมาสู่ค่ายเอาชวิตซ์ โดยเขาจะเป็นคนชี้ว่า คนนี้ไปอยู่ทางซ้าย คนนี้ไปทางขวา ( ซ้าย คือ ถูกส่งเข้าสู่ ห้องรมแก๊สพิษ ขวา ถูกนำไปใช้แรงงาน หรือรอเป็นหนูทดลองต่อไป ) ความโหดเหี้ยมของ หมอโจเซฟ นั้นถึงขั้นที่ว่า ครั้งหนึ่งมีเหตุการณ์เหาระบาดในค่าย หมอโจเซฟได้ออกคำสั่งให้ ทำการควบคุมการแพร่ระบาดโดยการเผาที่พักที่มีการระบาด ไปพร้อมกับผู้ป่วยที่เป็นเหาทั้งเป็น และยังมีความเชี่ยวชาญในการใช้ แก๊สพิษไซคลอน บี ในการสังหารหมู่ ตัวพ่อ ของค่ายเอาชวิตซ์ โดย การทดลอง สุดสยองที่เขาได้ทำไว้ มีดังนี้


กำลังเริ่มทดลอง................................ ครอบครัวคนแคระOvitz family


แพทญ์หญิงเฮอร์ทา โอเบอร์ฮอยเซอร์(Dr. Herta Oberheuser )

  การทดลอง สุดสยอง
   หมอเฮอร์ทา

หมอ เฮอร์ทา ทำการทดลองเกี่ยวกับการรักษาบาดแผล ที่เกิดจากสงคราม ซึ่งการที่จะได้ตัวอย่างที่เหมาะสมต่อการทดลองต้องใช้เวลานาน เธอจึงสร้างบาดแผลต่างที่ต้องการขึ้นมา โดยการ ผ่าร่างกายของเชลย ให้เกิดบาดแผล แล้วใ่ส่ เศษดิน ต้นไม้ใบหญ้า เศษกระจก เศษเหล็ก เป็นการจำลองแผลจากสงครามขึ้น ขอจนอับแสบอย่างรุนแรง แล้วทำการรักษา ด้วยตัวยาสูตรต่างๆ
  • ส่วนบาดแผล ไฟไหม้ เธอก็ทำเหมือนเช่นเดิน เธอจะกีดร่างกายเหยื่อ แล้วใส่สาร Phosphorous ลงในแผล แล้วจุดไฟ จะเกิดการลุกไหม้อย่างแรง ทำให้เกิดแผลไฟไหม้รุนแรง
  • หลังสิ้นสุดสงคราม เธอถูกดำเนินคดีในฐานะอาชญากรสงคราม ที่ศาลทหารในนูเรมเบิร์ก ( Nuremberg ) ถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 20 ปี แต่เนื่องจากปฏิบัติตัวดีจึงได้รับการลดโทษ และปล่อยตัวในปี 1952 หลังจากได้รับการปล่อยตัวเธอแอบไปประกอบอาชีพเป็นแพทย์ แต่เชลยสงครามไปพบเข้า จึงได้แจ้งความร้องเรียน จนเธอถูกยึดใบอนุญาตประกอบวิชา


รูปบาดแผลที่ขา
ของเหยื่อ



5 Main Gate

ประตูทางเข้าหลัก ของ ค่ายเอาชวิตซ์ ซึ่งปากประตูมีข้อความว่า " ARBEIT MACHT FREI " เป็นภาษาเยอรมัน มีความหลายว่า " การทำงานจะไปสู่อิสระภาพ "
การทำงานจะไปสู่อิสระภาพ ( ARBEIT MACHT FREI ) เหล่าเชลยคงไม่ทราบว่า อิสระภาพที่เหล่านาซีเยอรมัน จะมอบให้นั้นก็คือ " ความตาย "

6 Kitchen

โรงครัว ของ ค่ายเอาชวิตซ์ เป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในค่าย ใช้ที่จัดให้นั้นน้อยเสียจนเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้เท่านั้น ทั้งยังไม่มีคุณค่าทางโถชนาการเลย จะเห็นได้จากร่างกายของเชลยในค่ายที่ผ่ายผอมเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น หากว่าถามว่าแต่ละวันเหล่าเชลย ได้รับอาหารคนละเท่าไร ?
  • ขนนปัง 350 กรัม ต่อวัน
  • น้ำที่ทำกลิ่นรสเลียนแบบ กาแฟ ( ersatz coffee ) ตอนเช้าครึ่งลิตร
  • ซุปผักกาด กับ มันฝรั่ง 1 ลิตร ตอนเที่ยง โดยในซุปจะมีเนื้ออยู่ประมาณ 20 กรัม
  • โดยเฉลี่ยเหล่าเชลยจะได้รับ พลังงานจากอาหารประมาณวันละ 1,300-1,700 แคลลอรี/วัน

ภาพถ่่าย เยี้องจากประตูทางเข้าหลัง จะเห็นรั้วไฟฟ้า ตั้งอยู่รายล้อมค่าย ถึงสองชั้น และอาคารที่เห็นอยู่ด้านหลังคือโรงครัว จะสังเกตเห็นปล่องครัวเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก

7 Slolen Stuff Warehouse

โกงดังเก็บของ ที่ได้จากการยึดมาจากเชลย หรือจากศพของผู้เสียชีวิต เช่นฟันทอง จะถูกนำไปหลอม และนำส่งกลับเยอรมัน แต่ของมีค่าบางส่วนก็ถูกพวก SS ยักยอกไป


รูปภาพ หนึ่งในโกดังเก็บเสื้อผ้า ที่เต็มจนล้นทะลักออกมานอกประตู และถ้าสังเกตที่หน้าต่างเล็กด้านซ้ายก็อัดเต็มไปด้วยเสื้อผ้า คงจินตนาการได้ว่าจำนวนเหยื่อผู้เสียชีวิตนั้นมากมายขนาดไหน

8 Death Wall or Black Wall

ผนังแห่งความตาย หรือ ผนังดำ ผนังนี้ตั้งอยู่บนลานระหว่างเรือนนอนสองหลังคือ บล็อก 10 กับ บล็อก 11 ผนังนี้เป็นอีกหนึ่ง สถานที่ สุดสยอง ภายในค่ายเอาชวิตซ์ เพียงชั่วเวลาสั้นจากปี 1940 ถึง 1944 ระยะเวลาเีพียง 4 ปี ผนังแห่งนี้เป็นพยาน ของแห่งความโหดเหี้ยมของเหล่านาซีเยอรมัน กว่า 20,000 ศพ โดยผนังนี้จะเป็นบริเวณที่ใช้เป็น ลานประหารโดยการยิงกระสุนเข้าบริเวณกระดูกต้นคอข้อสุดท้ายที่ต่อกับกระโหลก โดยเพชรฆาต สองหมื่นศพผู้นี้มีชื่อว่า " Rapportfürher Gerhard Palitsch " เหยื่อของมันมีไม่เว้นแม้แต่ เด็ก และผู้หญิง
ที่มาของ ชื่อ ผนังดำ เนื่องจาก ผนังค่ายสร้างจากอิฐ จะมีฉากสร้างจากท่อนไม้ บุหน้าด้วยไม้ค็อกทาด้วยสีดำ เนื่องจากพวกนาซีกลัวว่าผนังอิฐสวย ของ พวกเขาจะเป็นรอยจากกระสุนปืน

รูปซ้าย เป็นภาพวาด ผนังแห่งความตาย เมื่อเหยื่อถูกยิงทิ้ง เหล่าเชลยจะยกศพไปวางกองกันไว้
รูปขวา เป็นผนังแห่งความตายในปัจจุบัน เมื่อนักท่องเที่ยวมาเยือนก็มักจะมีการนำ ดอกไม้ มาไว้อาลัยให้แก่ผู้ล่วงลับ

G Gas Chamber and Crematory

ห้องรมแก๊สพิษ และเตาเผาศพ หนึ่ง ในอีกสถานที่ สุดสยอง ในค่ายเอาชวิตซ์ เนื่องจากพวกนาซีรู้สึกเสียดายลูกกระสุน ที่ต้องเสียไปในการยิงชาวยิวทิ้ง ซึ่งพวกเขาคิดว่ามันไม่คุ้มเสียเลยที่ต้องแลกระหว่าง กระสุน 1 นัด กับ 1 ชีวิตชาวยิว จึงคิดหาวิธีที่สามารถกำจัดชาวยิวได้ครั้งละมาก และต้องถูกด้วย และห้องรมแก๊สพิษ คือคำตอบ และห้องรมแก๊สพิษห้องแรก ก็ถูกออกแบบโดยดัดแปลงโรงเรือนที่สร้างจากอิฐ และให้ชื่อว่า The Little Red House หรือ บ้านเล็กสีแดง wowboom

  • a พื้นที่ให้เชลยรอก่อนเข้าห้องรมแก๊สพิษ
  • b ห้องกองเถ้ากระดูกที่เหลือจากการเผา และห้องล้างทำความสะอาด
  • c บริเวณพื้นที่รมแก๊สพิษ
  • d ห้องเผาศพที่เสียชีวิตจากการรมแก๊สพิษ
  • e ปล่องควัน ที่เหลือจากการเผาศพ
  • f ห้องเก็บถ่านหิน และเชื้อเพลิงสำหรับเผาศพ
  • g ออฟฟิซผู้คุม
  • Plan ซ้ายจะเป็นแปลนห้องดังเดิมที่สร้างเมื่อปี 1942
  • Plan เป็นแปลห้องรมแก๊สพิษ ที่สร้างขึ้นมาใหม่ เนื่องจากพวกนาซีได้เผาทำลายห้องรมแก๊สเพื่อทำลายหลักฐานความชั่วร้ายของตนเอง

รูปซ้าย เป็นตัวอาคารห้องรมแก๊สพิษ
รูปขวา เป็นประตูทางเข้าสู่ ห้องรมแก๊สพิษ


รูปซ้าย คือพื้นที่ที่เหล่าเหยื่อชาวยิว จะถูกส่งเข้าเพื่อเป็นที่ตาย โดยการรมด้วยแก๊สพิษ
รูปขวา คือบริเวณหลังคาของห้องรมแก๊สพิษ ที่เห็นเป็นปล่องเหล็กมีฝาปิดคือ ช่องสำหรับหย่อนแก๊สพิษลงไปภายในห้องเพื่อฆ่าชาวยิว


รูปซ้าย เป็นเมรุเผาศพ เหยื่อที่ถูกรมแก๊สพิษ เสียชีวิต ส่วนที่เห็นอยู่ด้านหน้าเมรุ คือรถเข็นศพ
รูปขวา เป็นรูปเหยื่อกำลังถูกลำเลียงเข้าสู่เมรุ

9 Barrack

โรงนอน ภายในค่ายเอาชวิตซ์มีโรงนอนอยู่ 28 หลัง ( โดยโรงนอนเหล่านี้จะถูกเรียกว่า บล็อก ( Block ) )โดยแต่ละหลังมีเชลยกว่า 1,000 คนอาศัยอยู่อย่างแออัดโดยอาคารจะเป็นอาคาร 2 ชั้น ภายในอาคารมีแต่พื้นที่สำหรับวางเตียงนอนแบบ 3 ชั้นมีพื้นที่เีพียงเสือกตัวนอนได้เท่านั้น เนื่องจากอากาศที่ถ่ายเทไม่สะดวก และอุณหภูมิที่ต่ำ และสภาพสุขอนามัยที่ต่ำมาก ทำให้ในทุกรุ่งเช้า เชลยที่ตายจากไปทุกวัน ในระหว่างนอนหลับ


รูปซ้าย ภาพโรงนอนในปัจจุบัน
รูปขวา เป็นสภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ของเชลยหญิง ที่ต้องแออันกันอยู่ในเตียง 3 ชั้น

10 Block 10

บล็อก 10 เป็นเป็นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นห้องทดลองนรก ของค่ายเอาชวิตซ์ ผู้ที่เข้าที่ บล็อก 10 นั้นจะถูกทำการทดลองต่างๆ ได้รับทุกข์แสนสาหัส บ้างก็เสียชีวิต และนี้คือหนึ่งในการลองนรก สุดสยอง


Hypothermia Experiment เชลยจะถูกแช่ในน้ำเย็นจัด หัวหน้าการทดลองนี้คือ นายแพทย์ ซิกมุนด์ ราสเชอร์ ( Sigmund Rascher ) และผลการทดลองทำให้ทราบเป็นครั้งแรกว่า ถ้าอุณหภูมิร่างกายมนุษย์ต่ำกว่า 25 เซลเซียส มนุษย์จะเสียชีวิต ทั้งยังศึกษาถึงการช่วยชีวิตด้วยวิธีต่างสำหรับผู้ที่เกิดอาการ เกิดสถาวะหนาวจัด (Hypothermia) จึงการทดลองมีทั้งการ การส่องด้วยหลอดไฟความร้อน การฉีดน้ำร้อนเข้าสู่กระเพาะ ลำไส้ การให้ความร้อนโดยร่างกายโดยใช้เชลยหญิงให้ความอบอุ่นแก่ผู้ป่วย การแช่ในน้ำร้อน (ซึ่งเป็นวิธีที่ดีทีุ่สุด) การทดลองนี้เป็นหนึ่งที่จะนำไปสู่การบุกยึดรัชเซีย ซึ่ง ฮิตเลอร์รู้ดีว่า ศัตรูสำคัญของการบุกยึดรัชเซียคือความหนาวเย็น
รูปขวา โฉมหน้านายแพทย์ ซิกมุนด์ ราสเชอร์ ( Sigmund Rascher ) ถ่ายคู่กับลูก


High Altitude การทดลองความกดอากาศสูง โดยการนำเชลยไปอยู่ในห้องควบคุมแรงดัน แล้วทำการลดแรงไปเรื่อยเพื่อจำลองสภาพความสูงที่ 20,000 เมตรจากพื้นดิน และลดปริมาณออกซิเจนในอากาศ พร้อมทั้งมีการบันทึก ผลการทดลองที่ความดันต่าง จนถึงความดันสุดท้ายที่เหยื่อเสียชีวิต การทดลองนี้ทำเพื่อหาระบบป้องกันนักบินขับไล่ของเยอรมัน จากการดีดตัวออกจาก เครื่องบิน

Mustard gas experiments การทดลองผลของมัสทาร์ทแก๊ส ผลจากการได้รับพิษ การรักษาพยาบาล ( Note รูปภาพประกอบ มาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ซ้ายเป็นผลจากการได้รับมัสทาร์ทแก๊ส โดยไม่สวมหน้ากากกันแก๊สพิษ รูปขวา เป็นทหารแคนนาดา ที่ถูกแก๊สมัสทาร์ท จะเห็นว่าเกิดบาดแผลพรุพองทั่วร่างกาย )

11 Block 11


บล็อก 11 เป็นอีกหนึ่งอาคาร สุดสยอง ที่สร้างเพื่อเิป็นคุก และห้อง ทรมาน เนื่องจากเชลย ที่ถูกส่งเข้ามาที่บล็อก 11 นั้นเพื่อเป็น การทำโทษ และทรามานด้วยวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้

Standing Cell คุกยืน นักโทษจะถูกขังอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมขนาด 1.2 x 1.2 เมตร ( 1.5 ตารางเมตร ) ครั้งละอย่างน้อย 4 คน ซึ่งมันแคบจนไม่สามารถขยับตัวได้ ทุกคนจะต้องยืนอยู่อย่างนั้นตลอดการคุมขัง

Starvation cells คุกอดอาหาร เป็นคุกหมายเลขที่ 21 ใครที่โดนจับมาขังยังห้องนี้ ก็คือได้รับโทษตาย เนื่องจากหลังจากถูกนำขัง นักโทษจะไม่ได้รับ น้ำ หรือ อาหาร อีกเลยจนกว่าจะเสียชีวิต ( รูปซ้ายประตูทางเข้า รูปขวา ภายในคุกอดอาหารจะเห็นว่ามีเครื่องเซ่นมากมายเนื่องจากห้องนี้เป็นห้องที่ Saint Maximillian Kolby มรณภาพ )

 



ข้อมูลอ้างอิง สุดสยอง ค่ายนรก เอาชวิตซ์



  • http://en.wikipedia.org/wiki/Auschwitz_concentration_camp



  • http://www.oknation.net/blog/print.php?id=388373



  • http://www.scrapbookpages.com/auschwitzscrapbook/tour/Auschwitz1/Auschwitz08.html



  • http://www.holocaust-history.org/auschwitz/intro-columns/



  • http://www.vho.org/GB/Books/dth/fndgcger.html



  • http://www.scrapbookpages.com/AuschwitzScrapbook/Tour/Auschwitz1/index.html



  • http://www.mengele.dk/new_page_6.htm เกี่ยวกับการทดลองนรก ในค่ายเอาชวิตซ์



  • http://en.wikipedia.org/wiki/Herta_Oberheuser ประวัติของหมอเฮอร์ทา



  • Thursday, November 5, 2009

    Secret weapon of world war II: Fugo


    ฟูโก(
    Fugo)

    ใน ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกำลังติดพันกันนั้น ทั้งฝ่ายพันธมิตร ฝ่ายศัตรูต่างผลิตอาวุธลับมาเพื่อพิชิตศัตรูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางอันก็ใช้ได้จริง บางกันก็ทิ้งลงถังขยะแล้วไม่กลับไปใช้อีกเลย
    แต่ที่แปลกประหลาดและลึกลับที่สุดคือฟูโก
    ย้อน กลับไปในช่วงญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกากำลังขับเคี้ยวอย่างหนึก “กามิกาเซ” หรือการใช้เครื่องบินพุ่งเข้าใส่เป้าหมายโดยนักบินยอมฆ่าตัวตาย กับอีกอย่างคือ “ไกตัน” หรือการใช้เรือดำน้ำพุ่งชน ซึ่งเป็นอาวุธที่สะท้านไปทั่วโลก
    เป้า หมายต่อไปของญี่ปุ่นคือการโจมตีอเมริกา แต่ทำไม่ได้เพราะอเมริกาอยู่ไกลเกินไป ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีเทคโนโลยีที่จะสร้างนิวเคลียร์ข้ามทวีปได้
    แต่ ญี่ปุ่นไม่ยอมแพ้จนนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น พบว่าในระดับความสูง 30,000 ฟุต มีกระแสลมบนที่พัดผ่านญี่ปุ่นแล้วอ้อมไปถึงสหรัฐอเมริกาได้ จึงน่าจะทำอะไรสักอย่างที่สามารถส่งไปกับกระแสลมให้ไปทำลายชีวิตและ ทรัพย์สินของชาวอเมริกาได้ จึงได้เริ่มมีโครงการผลิตบอลขนาดยักษ์ขึ้นโดยใช้ชื่อ “ฟูโก”
    ฟูโกคืออะไร? ฟู โกคือบอลลูนขนาดยักษ์มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 ฟุต ทำด้วยกระดาษไขทำด้วยเยื่อไม้เบอรี เคลือบผิวเพื่อให้ทนทาน บรรจุก๊าซไฮโดรเจน ขนาดกว้างเท่ากับตึกสองชั้น  ใช้บรรจุระเบิดมากพอสมควร โดยมันออกแบบให้ลอยสูง 32,000 ถึง 38,000 ฟุต cและ คงระดับไว้ 65 ชั่วโมง ด้วยระดับความสูงขนาดนี้ กระแสลมจะพัดมันไปถึงทวีปอเมริกาด้วยความเร็ว 100-200 ไมล์ต่อชั่วโมง ฟูโกแต่ละลูกมีถุงทราย 50 ถุง ซึ่งจะถูกปล่อยทิ้งที่ละลูกหากระดับความสูงลดลงตามที่กำหนด โดยมีบาร์มิเตอร์เป็นตัววัดความสูง
    ประมาณ ว่าถ้าฟูโกจะอยู่เหนือทวีปอเมริกาพอดี เมื่อถุงทรายถุงสุดท้ายถูกทิ้งออกมา แบตเตอรี่จะทำงาน ปล่อยลูกระเบิดใหญ่ทิ้งลงพื้น ขณะเดียวกันระเบิดลูกเล็กๆ ก็จะทำลายฟูโกให้สิ้นซาก หาหลักฐานไม่ได้
    ครั้งเมื่อถึงฤดูลมเบื้องบนพัดผ่านญี่ปุ่นอ้อมโลกไปทางสหรัฐอเมริกา  ฟูโกชุดแรกถูกปล่อยในปี ค.ศ.1944 รวมทั้งสิ้น 9,300 ลูกทำให้อเมริกาปั่นป่วนไม่น้อย

                    เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ.1945 อาร์ธี มิตเชลล์ ได้พาภรรยาชื่อเอสซี่และบุตร 3 คนวัย 10 ขวบ 11 ขวบ 12 ขวบ ตามลำดับ พร้อมเพื่อนของลูกอีก 1 คนไปตั้งค่ายพักแรมในแถบภูเขาเกียร์ฮาร์ท ใกล้ๆ กับเมืองไปล์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีบรรยากาศสวยงามอย่างยิ่ง

                    ระหว่าง ที่ครอบครัวมิตเชลล์กำลังชื่นชมธรรมชาติอยู่นั้น ก็เห็นบอลลูลขนาดใหญ่อยู่เหนือหุบเขาที่พวกเขาเดินกันอยู่ ฉับพลัน บอลลูนยักษ์นั้นก็ระเบิดกังสนั่นหวั่นไหว มีสะเก็ตระเบิดปลิวว่อนทั่วทุกสารทิศ เป็นเหตุให้เอลซีและลูกๆ ทั้งสามเสียชีวิตทันที ส่วนอาร์ธี มิตเชลล์ผู้เป็นพ่อรอดตายอย่างเหลือเชื่อ
                    ส่วน เหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดก็คือ ฟูโกตกไปโดนหม้อพลังงานนิวเคลียร์ของโรงงานแฮนฟอร์ด เอ็นจีเนียริ่งในวอชิงตัน จนเกือบระเบิดครั้งใหญ่
                    ฟัง ดูเหมือนน่ากลัว แต่ความจริงจากบันทึกพบว่าฟูโกถึงที่หมายเพียง 1000 ลูกเท่านั้น และถูกกองทัพอากาศสหรัฐจับได้ 285 ลูก นอกนั้นหายสาบสูญระหว่างทาง และรัฐบาลปิดข่าวเงียบเพราะไม่ต้องการให้ทางการญี่ปุ่นทราบความเสียหาย
    เมื่อไม่ทราบข่าวเสียหาย ทางกองทัพญี่ปุ่นเห็นว่าล้มเหลว  เลยเลิกโครงการนี้พร้อมกับปิดเรื่องนี้ลับสุดยอด ส่วนประชาชนอเมริกันก็ตื่นเต้นว่าเป็นจานผีนอกโลก ฮือฮากันยกใหญ่ไปซะงั้น

    MIA story: Hiroo onoda

    งครามโลกครั้งที่สอง ใช่สิ!! เป็น ช่วงที่น่าจดจำนี้น่า แม้หลายๆ คนจะไม่อยากจำก็เถอะ ที่มีแต่เรื่องฆ่าๆ นี้น่า ทั้งทหาร พลเมืองที่บริสุทธิ์ เด็กน้อยที่โดนยิง คนแก่ที่โดนไฟเผา หญิงสาวที่โดนข่มขืนหมู่ โอ้....มันช่างโหดร้ายจริงๆ แต่วันนี้ผมมี 5 เรื่อง(อีกละ) ที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ที่อาจฮ่าๆ นิดๆ หรืออาจเครียดกว่าเดิมก็ได้
    อ่านไปเถอะอย่าคิดมากน่า.....


    ฮีรุ โอโนดะ (
    Hiroo Onoda)
    19มีนาคม 1922(1922-03-19) – ??
    เกิดที่ ไคนัน ประเทศญี่ปุ่น
    เป็นทหารเมื่อ 1941-1974 ตำแหน่งร้อยโทที่สอง
    อดีตเคยเป็นชาวนา

    ผม เคยดูสารคดีบันทึกโลก ช่อง 9 ครับ เขาเอาเรื่องทหารคนสุดท้ายในสงครามโลกครั้งที่สองมาออก ผมงฺฮ่าไม่ออกเลยแหละ แบบว่าสงครามโลกนะเลิกตั้งนานแล้ว พี่ฮีรุ โอโนดะก็ยังเชื่ออยู่ว่ากองทัพอเมริกายังทำสงครามกับกองทัพของตนเองอยู่ พี่แกก็หมกตัวอยู่แต่ในป่า หลายปีแนะ กว่าจะรู้ว่าสงครามสงบแล้ว
     มัน เริ่มมาจากญี่ปุ่นจับมือกับเยอรมันและกำลังต่อกรทัพอเมริกาและทหารฝ่าย สัมพันธมิตร วึ่งระหว่างสงครามเราก็ได้เห็น บทบาทการสู้รบของทหารญี่ปุ่นกับกองทัพที่ล้ำสมัยของอเมริกาอย่างน่าทึ้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าฝ่ายญี่ปุ่นเสียเปรียบ แต่กระทำให้ทัพที่ยิ่งใหญ่ของโลกเกือบแพ้มาแล้ว นั้นได้แสดงให้เห็นถึงความมีระเบียบวินัย ความกล้าหาญ และความทรหดอดทนอย่างน่าพิศวงของกองทัพญี่ปุ่น
    จนกระทั้งญี่ปุ่นสามารถยึดครองประเทศแถบเอเชียอาคเนย์ได้เกือบทั้งหมด  และประเทศฟิลิปปินส์ก็คือหนึ่งในประเทศนั้น บนเกาะลูบัง(Lubang)ของ ฟิลิปปินส์มีกองทหารญี่ปุ่นประจำการอยู่กองหนึ่ง ทหารกองนี้มี พันโท โยชิมา ตานาคูชิ เป็นผู้บังคับบัญชา เวลานั้นเป็นช่วงปลายสงครามแล้ว กองทัพญี่ปุ่น เพลี่ยงพล้ำในการสู้รบต่อฝ่ายสัมพันธมิตรหลายสมรภูมิ แต่ทหารญี่ปุ่นก็ทำการต่อสู้ไม่ท้อถอยอย่างกล้าหาญและทรหด

                    ส่วนตัว ร้อยโท ฮีรุ โอโนดะ เขา
    ถูกฝึกฝนเป็นทหารที่โรงเรียน นากาโน และเขามาประจำการที่เกาะลูบัง เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1944
    วัน หนึ่ง ร้อยโท ฮีรุ โอโนดะ ได้รับคำสั่งจากพันโทโยชิมา ตานาคูชิ ให้นำทหารหมวดหนึ่งเข้าไปปฏิบัติการพิเศษในป่าบนเกาะลูบัง เพื่อสอดแนมกาเคลื่อนไหวของข้าศึก
    ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ จึงนำทหารใต้บังคับบัญชาเดินทางไปปฏิบัติภารกิจในป่าลึก
    เวลา นั้นพอดีอเมริกาได้ถล่ม เมืองฮิโรชิมา กับ นางาซากิ ด้วยระเบิดปรมาณูมีผู้คนล้มตายนับแสนคน จักรพรรดิฮิโรฮิโต แห่งญี่ปุ่นเห็นท่าไม่ดี เลยประกาศยอมแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรโดยปราศจากเงื่อนไข มีพระราชโองการให้กองทัพญี่ปุ่นทุกกองทัพยอมแพ้และวางอาวุธ กองทหารญี่ปุ่นซึ่งประจำการบนเกาะลูบังก็ยอมแพ้ด้วยทั้งหมดจึงต้องถอนกำลัง ออกไปจากเกาะไป
    แต่ ดูเหมือนว่าผู้บังคับบัญชาดันลืมบอกข่าวนี้แก่ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ และพรรคพวกให้ทราบว่า เนื่องจากติดต่อกับพวกเขาไม่ได้ จึงไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าร้อยโทฮีรุยังมีชีวิตอยู่และกำลังทำภารกิจในป่าฟิลิปปินส์ .........
    เมื่อ ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ และทหารใต้บังคับบัญชากลับมายังที่ตั้งของกองทหาร จึงไม่พบใครเลย แถมร้อยโทฮีรุ โอโนดะจึงผิดอีกว่ากองทหารของเขาถูกทหารฝ่ายศัตรูโจมตีจนต้องถอยหนีจากเกาะ เขาจึงตัดสินใจนำทหารหลบเข้าไปในป่าเพื่อทำการสู้รบต่อไปอีก และหลบซ่อนอำพรางตัวอยู่ในป่าบนเกาะลูบังเรื่อยมาและคิดว่าสงครามยังดำเนิน อยู่(ทั้งๆ ที่สงครามเลิกแล้ว)

                   ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ และพรรคพวก(
    ประกอบด้วย โยะชิ อะกาซึ(Yuichi Akatsu),สิบโท ไซโอชิ ชิมาดะ(Siochi Shimada) และ คินซิชิ โคซูกะ (Kinshichi  Kozuka )กลาย เป็นทหารญี่ปุ่นหน่วยสุดท้ายที่ตกค้างอยู่ในป่าบนเกาะลูบัง ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นก็ไม่รู้และคิดว่าทหารหน่วยนี้คงเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติ ภารกิจไปหมดแล้ว
    การ ดำเนินชีวิตในป่าของโทฮีรุ โอโนดะและพรรคพวก(มี 3คน) กลายเป็นเกมเอาตัวรอดซะแล้ว พวกเขาต้องอาศัยถ้ำเป็นที่พัก และหาอาหารจากป่ามากินเพื่อรอดไปวันๆ (บางครั้งก็ขโมยอาหารจากชาวบ้านมากิน) ซึ่งจนบัดนี้ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ก็ไม่ยอมแพ้เขาไม่ยอมนำทหารออกมาจากป่ามามอบตัวกับศัตรูอย่างเด็ดขาด เขาเชื่อว่าสงครามยังต่อสู้อยู่ และจักรวรรดิญี่ปุ่นกำลังชนะ  
    ชีวิตของโทฮีรุ โอโนดะยังดำเนินต่อไป ครั้งแรกที่เขาเห็นใบปลิวจากเครื่องบินบอกว่าสงครามโลกยุติเมื่อ ตุลาคม 1945  โทฮีรุ โอโนดะกลับไม่เชื่อเพราะนึกว่านี้เป็นแผนศัตรูหลอกให้พวกเขาหลงไปติดกับดัก พวกเราอย่าไปเชื่อเด็ดขาดนะ อยู่ในป่าปลอดภัยกว่าว่างั้นเถอะ
    เวลา ผ่านไปจากเดือนเป็นปี...และหลายปีต่อมา...ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ กับทหารของเขาก็ยังหลบซ่อนอยู่ในป่าและพร้อมจะต่อสู้กับฝ่ายศัตรูโดยไม่ยอม แพ้อย่างเด็ดขาด(ศัตรูที่นี้คือชาวบ้านฟิลิปปินส์ที่ไปหาของป่า) มีหลายครั้งที่ทหารญี่ปุ่นกลุ่มนี้แอบออกมาลาดตระเวนดูที่ตั้งกองทหารของพวก เขาแต่ไม่พบเห็นอะไรเลย นอกจากชาวบ้านซึ่งกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเช่นเดิม กระนั้นทหารญี่ปุ่นก็คิดว่าฝ่ายข้าศึกได้ยึดครองพื้นที่ไว้ได้ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงถอยกลับเข้าไปอยู่กลางป่าลึกเหมือนเดิม
    มา ถึงตอนนี้สงครามของโทฮีรุ โอโนดะกลับกลายเป็นว่าต้องสู้ศัตรูกับชาวบ้านแทน โทฮีรุต้องฆ่าชาวบ้านหลายคน และมีบางครั้งเขาต้องหนีจากกลุ่มชาวบ้านที่มีมีดพร้าปืนเพียงหนีเข้าป่าจน เอาชีวิตไม่รอด ชาวบ้านเรียกโอนาดะกับพรรคพวกว่า “ปีศาจแห่งป่าลูบัง”
    เวลาผ่านไปจากหลายปีเป็นสิบปี และจำนวนปีก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โทฮีรุ โอโนดะและทหารทั้งสามยังใช้ชีวิตต่อไป

                     ใน
    1952 มีจดหมาย และประกาศบอกว่าสงครามเลิกแล้วนะ ถูกปล่อยลงเครื่องบินให้แต่ร้อยโทฮิรุ โอโนดะ และสามทหารก็ไม่เชื่ออีกว่าสงครามเลิกแล้ว   
    1953  ก็มีประกาศยุติสงครามมาอีก แต่ร้อยโทฮิรุ โอโนดะ และสามทหารก็ไม่เชื่ออีก
    จากนั้นทหารในหน่วยของร้อยโทฮีรุ โอโนดะ เสียชีวิตไปทีละคนสองคน
    มิถุนายน1953 ชิมาดะ ถูกยิงที่ขาและเจ็บไข้ได้ป่วยตาย
    1954 โยะชิ อะกาซึถูกฆ่าโดยปืนจากคณะสำรวจที่กำลังค้นหาทหารที่เหลืออยู่บนเกาะลูบัง(เจริญ....)
    19 ตุลาคม1972 คินซิชิ โคซูกะ ถูกฆ่าโดยสองเจ้าหน้าที่ตำรวจฟิลิปปินส์ยิงตาย เนื่องจากเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้าย เพราะทหารญี่ปุ่นคนนั้นใช้อาวุธปืนประจำการยิงเข้าใส่ก่อน
    จาก ความเจ็บไข้ได้ป่วยและไม่มียารักษาโรค ทั้งๆ ที่ถ้าพวกเขายอมแพ้พาเพื่อที่เจ็บป่วยเหล่านี้ไปรักษาในเมืองพวกเขาก็จะรอด ชีวิตแท้ๆ เพราะตอนนี้โลกภายนอกนั้นเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว เพราะสงครามโลกยุติไปหลายปีแล้ว
    ทหาร คนสุดท้ายภายใต้การบังคับบัญชาของร้อยโทฮีรุ โอโนดะ เสียชีวิตในปี 1972 ขณะลักลอบเข้ามาหาอาหารในหมู่บ้านชายป่า แล้วถูก คราวนี้ก็เหลือร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ดำรงชีวิตอยุ่ในป่าเพียงลำพังคนเดียว
    แม้ จะเหลืออยู่อย่างโดดเดี่ยวโทฮีรุ โอโนดะ ก็ไม่ยอมแพ้ เขายังสู้ต่อไป จนกระทั้งมีข่าวของทหารคนสุดท้ายของญี่ปุ่นแห่งเกาะลูบังถึงหูทางการญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามบอกข่าวแก่ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ที่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 เลิกแล้วนะออกมาได้แล้ว แต่กระนั้นก็ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากโอโนดะ คิดว่าเป็นกลอุบายของข้าศึกที่จะหลอกจับตัวเขา แม้จะนำพระราชโองการของพระจักรพรรดิฮิโรฮิโตนำไปติดไว้ทุกหนทุกแห่งในป่า ด้วยหวังว่าร้อยโทฮิรุ โอโนดะ มาพบเข้าจะยอมวางอาวุธแล้วออกมาปรากฏตัว แต่วิธีนี้ก็ไม่ได้ผลอีก เพราะร้อยโทฮิรุ โอโนดะ ไม่เชื่อว่าประกาศพระราชโองการนั้นเป็นความจริง
     
    จน กระทั้ง.... นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งบังเอิญไปพบร้อยโทฮิรุ โอโนดะ ในป่า พวกเขาพูดจากันถูกคอ และเล่าความจริงให้ทราบว่าสงครามยุติไปนานแล้ว และขอร้องให้เขาออกมาปรากฏตัวเสียที แต่ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ก็ยังไม่เชื่ออีกและบอกว่าให้ผู้บังคับบัญชาของเขาคือ พันโทโยชิมา ตานาคูชิ มายืนยันด้วยตัวเองก่อนถึงจะเชื่อ
    toshiyama(<<<<พันโทโยชิมา ตานาคูชิ)
    ทาง การญี่ปุ่นจึงพยายามติดต่อตามหาตัวพันโทโยชิมา ตานาคูชิ (วันหลังอย่าลืมสิพวก) จนพบและส่งผู้บังคับบัญชาของร้อยโทฮีรุ โอโนดะ พร้อมกับคณะติดตามคณะหนึ่งเดินทางไปยังเกาะลูบัง และได้พบร้อยโทฮีรุ โอโนดะ และอดีตพันโทโยชิมา ตานาคูชิ ก็แจ้งเรื่องราวทั้งหมดให้ร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ทราบ และออกคำสั่งให้เขาวางอาวุธ นายทหารใจเพชร ผู้แข็งกร้าวและยึดมั่นในวินัยจึงยอมวางอาวุธพร้อมกับเดินทางออกจากป่าเมื่อ วันที่ 10 มีนาคม 1974 หลังจากหลบซ่อนอยู่ในป่านานถึง 29 ปี
    สิ่ง ที่เหลือติดตัวร้อยโทฮีรุ โอโนดะ ก็คือ เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งชุดเดียวกับปืนเล็กยาวพร้อมกระสุน และดาบซามูไรอีกเล่มหนึ่งเท่านั้น
    การกลับคืนสู่ประเทศญี่ปุ่นของนายทหารใจเพชรผู้นี้ ได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับวีรบุรุษผู้กล้าคนหนึ่ง มารดาวัยชราอายุ 88 ปี ซึ่งเชื่อว่าบุตรชายของนางเสียชีวิตไปแล้วและไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาที่ สุสานนิรนามแห่งหนึ่งใกล้ ๆ กรุงโตเกียวเป็นประจำ กล่าวอย่างปิติว่า
    "การอบรม แก่เขาตามแบบคนญี่ปุ่น ทำให้เขาเป็นทหารที่มีวินัย มีความจงรักภักดีต่อชาติสูงสุด และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด แม้เวลาจะผ่านไปเกือบ 30 ปี เขาก็ยังยึดถือคำสั่งอย่างแน่วแน่"


                    ปัจจุบันโทฮีรุ โอโนดะถูกปลดจากการเป็นทหารและใช้ชีวิตเป็นเจ้าของฟาร์มแห่งหนึ่งในบราซิล และถ้ามีเวลาเมื่อไหร่เขาจะกลับไปเกาะลูบังเพื่อบริจาคเงินให้กับโรงเรียน ที่นั้น เขาทำแบบนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

     ทหารคนอื่นๆเพิ่มเติม
    โชอิชิ โยโก
    อิชิโนสุเกะ อูวาโนะ
    โอบะ ซาคาเอะ 

    Adolf hitler's miracle

    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
    อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
    (Adolf Hitler)
    ผู้นำนาซีเยอรมนี (ฟือเรอร์)
    ประธานาธิบดีคนที่ 3 แห่ง สาธารณรัฐไวมาร์
    ดำรงตำแหน่ง
    30 มกราคม ค.ศ. 1933 – 30 เมษายน ค.ศ. 1945

     http://www.samliquidation.com/images/nazi.h2.gif
                    ถ้า เอ่ยถึง "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" เชื่อว่าคงมีเพียงน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักผู้นำพรรคนาซี ผู้รวบอำนาจทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนำเยอรมนีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยความ เชื่อมั่นในตนเองสูงสุด และเขาผู้นี้เองที่เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ของการทำลายล้างเผ่ามนุษย์ อย่างโหดร้ายทารุณ นั่นคือ การฆ่าสังหารหมู่ชาวยิวกว่า 6 ล้านคน
                    และ เชื่อหรือไม่ก่อนที่ฮิตเลอร์จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำเยอรมนี เขาต้องเผชิญหน้าการลอบสังหารหลายรูปแบบ จากคนหรือหลุ่มคนที่จะพยายามปลิดชีพเขาเพื่อ
                    ไม่มีใครในบรรดาผู้นำบนโลกอีกแล้ว ที่ลอบสังหารบ่อยครั้ง และรอดมาได้ทุกครั้งราวกับปาฏิหาริย์ดั่งเช่นดอล์ฟ ฮิตเลอร์
                    โดยระหว่างที่ฮิตเลอร์ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น มีเหตุการณ์ลอบสังหารเกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น
                    ใน ปี ค.ศ.1921 มีกลุ่มคนพร้อมอาวุธระดมยิงเข้าใส่ฮิตเลอร์ระหว่างที่เขากำลังกล่าว สุนทรพจน์อยู่ แต่กระสุนพลาดเป้าหมายทั้งหมด(ยิงแม่นจัง)
                    ใน ปี ค.ศ.1929 ทหารหน่วยเอสเอสคนหนึ่ง(กองกำลังรักษาความปลอดภัยฮิตเลอร์)ได้วางระเบิดไว้ ใต้เวทีที่ฮิตเลอร์จะต้องกล่าวคำปราศรัย ส่วนตัวคนวางระเบิดซ่อนอยู่ในห้องน้ำ เสียดายระเบิดที่วางไว้เกิดด้านทำให้ฮิตเลอร์รอดไปได้อีกครั้ง
                    ใน ปี ค.ศ.1932 กลุ่มคนติดอาวุธพร้อมกันยิงใส่ฮิตเลอร์ขณะที่เขาเดินทางโดยรถไฟจากนครมิวนิ คไปยังไวมาร์ แต่เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
                    ในปีเดียวกัน รถยนต์ของฮิตเลอร์ถูกกลุ่มคนไม่ทราบจำนวนลอบโจมตีและยิงเข้าใส่ใกล้เมืองสตราสลุนด์ แต่ฮิตเลอร์ก็รอดไปอีกครั้ง.....
                    
                    และเมื่อฮิตเลอร์ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี(ค.ศ.1933) แม้โอกาสการลอบสังหารจะยากขึ้นก็ตาม แต่กระนั้นมันก็เกิดจนได้
                    ค.ศ.1939 ฮิตเลอร์ถูกวางระเบิดที่โรงเบียร์(The Beer Hall Bombing) ผู้ก่อการคือ โยฮันน์ เกออร์ก เอลเซอร์(Johann Georg Elser) ช่างไม้วัย 36 ปีและสมาชิกสหภาพช่างไม้ เอสเซอร์ได้ลักลอบนำระเบิดหนักถึง 110 ปอนด์ ไปซุกซ่อนไว้เสาต้นหนึ่งของโรงเบียร์เลอเว่นบรอย ที่นครมิวนิคซึ่งฮิตเลอร์จะต้องขึ้นกล่าวปราศรัยในช่วงค่ำของวันที่ 8 พฤศจิกายน ปรากฏว่าฮิตเลอร์เลิกปราศรัยเร็วกว่าหมายกำหนดและเดินออกมาจากโรงเบียร์ก่อน ที่จะระเบิดจะทำงานขึ้น แรงระเบิดนี้นสังหารคนที่มาฟังคำปราศรัยตายไป 8 คน และอีก 63 คน ได้รับบาดเจ็บสาหัส โต๊ะที่ฮิตเลอร์นั่งลงก่อนหน้าที่เขาจะลุกขึ้นถูกเพดานอิฐและปูนถล่มทับลงมา กอง
                    ส่วน ตัวเอลเซอร์ถูกตำรวจเยอรมันจับได้ที่พรมแดนระหว่างสวิส และถูกส่งตัวไปยังค่ายกักกันนาซี และเขาเสียชีวิตในค่ายกักกันระหว่างกองทัพฝ่ายพันธมิตรโจมตีเยอรมนีอย่าง หนักในปี ค.ศ.1945
                   
                    ในช่วงที่ฮิตเลอร์เรืองอำนาจอยู่นั้น เกิดกลุ่มต่อต้านนาซีมากมายและต่างหมายชีวิตฮิตเลอร์ หนึ่งในนั้นคือ ฟาเบียน ฟอน ชลาเบรนดอร์ฟ(Fabian von Schlabren dorff)ทนาย ความที่มีความรู้ด้านการวางระเบิดและหาโอกาสวางระเบิดสังหารฮิตเลอร์หลาย ครั้งแล้วแต่ไม่มีโอกาสเสียที จนกระทั้งเขาได้ลอบวางระเบิดบนเครื่องบินส่วนตัวของฮิตเลอร์ที่สนามบิน สโมเลนสก์เมื่อวันที่ 13 มีนาคม ค.ศ.1943 โดยใช้ชื่อแผนนี้ว่า "ปฏิบัติการสายฟ้าแลบ(Operation Flash)" เขาดัดแปลงระเบิดให้เหมือนขวดบรั่นดี 2 ขวด และตั้งเวลาโดยอนุภาพของมันนั้นสามารถระเบิดเครื่องบินพังทั้งลมพร้อมทั้ง ตัวฮิตเลอร์ก็ได้ ไม่กี่เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 กลุ่มสายลับอังกฤษก็เริ่มคิดวางแผนลอบสังหารผู้นำนาซีผู้นี้
                    แต่ ปรากฏว่าระเบิดนี้เกิดขัดข้อง เครื่องบินส่วนตัวของฮิตเลอร์ร่อนลงสู่สนามบินอย่างปลอดภัย ทั้งๆ ที่ฮิตเลอร์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเครื่องบินของเขาถูกลอบวางระเบิด
                    ฟา เบียน ฟอน ชลาเบรนดอร์ฟถูกตำรวจลับเกสตาโปจับตัวในฐานะสมาชิกกลุ่มต่อต้านรัฐบาลนาซีใน เดือนสิงหาคม ค.ศ.1944 เขาถูกทรมานปางตายและถูกนำไปขัง แต่กระนั้นเขาก็มีชีวิตรอดมาได้และถูกปล่อยตัวโดยกองทัพพันธมิตรในช่วงท้าย สงครามโลกครั้งที่ 2 ในเวลาต่อมา
                   
                    และนี้คือการสังหารฮิตเลอร์ที่โด่งดังที่สุด
                    แผนการวัลคีรี(Valkyrie Plan)
                    แผนการนี้ถูกสร้างเป็นหนังเรียบร้อย โดยสร้างจากเรื่องจริงของนายพันเอก เคานท์ เคลาส์ ฟอน ชเตาเฟนแบร์ก(Claus Schenk Graf von Stauffenberg) เป็นผู้นำกลุ่มต่อต้านนาซีที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิก โดยเขาวางแผนสังหารฮิตเลอร์เมื่อวันที่20 กรกฎาคม 1944 โดย ซุกซ่อนระเบิดน้ำหนักกว่า2 ปอนด์(บางเว็บว่า 4 ปอนด์) ไว้ในกระเป๋าเดินทางของเขาเองและไปวางห้องแผนที่ที่ฮิตเลอร์กำลังประชุมวาง แผนการทหารอยู่ในเมืองราสเทนเบบิร์กในดินแดนปรัสรัสเซียตะวันนออก
    ใน ช่วงที่เขาวางแผนนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกำลังตึงเครียดถึงขีดสุด ถ้าฮิตเลอร์ตายสงครามโลกจะจบเร็วขึ้น และคนนับล้านจะไม่ตายอีก และกลายเป็นหน้าหนึ่งที่ประวัติศาสตร์จะต้องจารึกไว้ แม้ว่าปฏิบัติการในครั้งนั้นจะไม่เสร็จสมบูรณ์ตามที่หวังก็ตาม(เรื่องจริง มันพอๆ กับหนัง)
    เช้า ตรู่วันนั้นพันเอกชเตาเฟนแบร์กและนายทหารคนสนิท แวร์เนอร์ เฮฟเทน เดินทางออกจากสนามบินทหารแห่งหนึ่งนอกกรุงเบอร์ลิน พร้อมกับระเบิดหนัก 2 ปอนด์ อาวุธที่จะใช้ในการสังหารฮิตเลอร์
    ช่วง สายฮิตเลอร์ก็ตื่นขึ้นเพื่อมารับฟังรายงานการทิ้งระเบิดในช่วงคืนที่ผ่านมา ก่อนที่ ดร.ธีโอดอร์ มอเรลล์ แพทย์ประจำตัวจะฉีดยากระตุ้นประจำวันให้
    หลังจากนั้นไม่นานพันเอกชเตาเฟนแบร์กก็เดินทางมาถึงสนามบินทหารใกล้กับกองบัญชาการรบฝั่งตะวันออก ที่เรียกว่า โวล์ฟส์ ไลร์
    พัน เอกชเตาเฟนแบร์กขอตัวที่จะไม่เข้าร่วมประชุมกับผู้บัญชาการสนามรบวิลเฮล์ม ไคเทล หลังจากเขามาแจ้งเรื่องการประชุมที่ถูกร่นให้เร็วขึ้นครึ่งชั่วโมงให้ทราบ ก่อนจะขอให้ห้องพักผ่อนเพื่อร่วมกับแวร์เนอร์ ฟอน เฮฟ เทน นายทหารคนสนิทประกอบลูกระเบิดที่ลักลอบนำ เข้ามา
    แต่ ขณะที่ระเบิดลูกที่สองกำลังได้รับการประกอบขึ้นนั้น ทหารรับใช้ได้เข้ามาขัดจังหวะจนทำให้ทั้งคู่ประกอบระเบิดเสร็จสมบูรณ์เพียง ลูกเดียว และนั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้ไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่ วางเอาไว้
    ฟอน เฮฟเทน เอาระเบิดลูกที่สองใส่ไว้ในกระเป๋าของเขาแทนที่จะใส่มันไว้ในกระเป๋ากับ ระเบิดลูกแรก ซึ่งจะถูกนำไปไว้ในที่ประชุมของฮิตเลอร์
    แม้ ว่าจะไปเข้าร่วมประชุมกับฮิตเลอร์ตามปกติ แต่พันเอกชเตาเฟนแบร์กก็ฉลาดพอที่จะไม่เป็นผู้วางระเบิดนั้นด้วยตัวเอง เพราะเขามีนายทหารคนสนิทอีกคนที่จะทำหน้าที่ในการนำมันไปวางไว้ใกล้ ๆ กับฮิตเลอร์ แผนการครั้งนี้คงจะสมบูรณ์หากว่าพันเอกไฮนซ์ บรันท์ไม่นำกระเป๋าปริศนาใบที่ว่าเคลื่อนย้ายไปจากที่ทางที่มันควรจะอยู่
    ไม่ กี่อึดใจหลังจากพันเอกชเตาเฟนแบร์กถูกฟอน เฮฟเทน เรียกออกมาจากกระท่อมประชุมสถานการณ์ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นสัญญาณเตือนภัยถูกเปิดเพื่อแจ้งการก่อการประทุษร้าย ในค่าย พันเอกชเตาเฟนแบร์กพร้อมฟอน เฮฟเทน รีบรุดกลับไปยังสนามบินทหารและขึ้นเครื่องกลับทันที โดยไม่อยู่รอดูผลงานของตัวเองก่อน
    ระเบิด ทำงานตรงตามเวลาที่กำหนดคือเวลา 12.42 น. แรงระเบิดทำให้ห้องกระจัดกระจายถล่มเละหมด ส่วนฮิตเลอร์ล้มลงหมดสติไป แต่เขาโชคดีที่ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มีแต่แผลไฟไหม้และหูดับไปชั่วขณะเนื่องจากเสียงระเบิดดังสนั่นใกล้ตัวเขา และฮิตเลอร์ยังสามารถกล่าวปราศรัยทางวิทยุต่อหน้าประชาชนได้หลังเกิด เหตุการณ์นั้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น
     ส่วนคนอื่นๆ ในห้องนั้นล้วนได้รับบาดเจ็บสาหัส

                     ความเชื่อมั่นของพันเอกชเตาเฟนแบร์กที่ว่า ฮิตเลอร์ตายแล้ว กับข้อความที่ถูกแจ้งมาว่า "มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น ฟูห์เรอร์ยังมีชีวิตอยู่" โดยไม่มีอะไรยืนยัน ทำให้พันเอกชเตาเฟนแบร์กตัดสินใจออกคำสั่งไปยังผู้บัญชาการกองทัพระดับ ภูมิภาคทุกนายว่า
    "ฮิตเลอร์ตายแล้วและกองทัพบกกำลังเข้ายึดอำนาจควบคุมรัฐ เจ้าหน้าที่พรรคนาซีและผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสทุกคนต้องถูกจับกุม"
    นั่น เท่ากับเป็นการแสดงตัวว่าเขาคือผู้วางระเบิดลูกนั้น ขณะที่ฮิตเลอร์โทรฯ ไปหาโยเซฟ เกิบเบลส์ รัฐมนตรีกระทรวงโฆษณาการพร้อมกับบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อพันเอกสเตาเฟนแบร์กส่งนายพลแอร์นสท์ เรเมอร์มาจับกุม เกิบเบลส์จึงแจ้งคำสั่งของฮิตเลอร์ที่ให้เรเมอร์ควบคุมกรุงเบอร์ลินและนำ ความสงบเรียบร้อยกลับคืนมา โดยตั้งไฮน์ริค ฮิมเลอร์ ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสเป็นผู้บัญชาการกองทัพชั่วคราว
    พัน เอกชเตาเฟนแบร์กถูกจับกุมและถูกประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าในเย็นวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ.1944 เย็นวันเดียวที่เกิดการก่อวินาศกรรมนั่นเอง คำพูดสุดท้ายที่เขาตะโกณก้องออกมาก่อนที่กระสุนปืนจะปลิวว่อนทะลุร่างเขาคือ
    “ขอให้เยอรมนีที่ศักดิ์สิทธิ์จงเจริญ”
    หลัง จากนั้นรัฐบาลนาซีก็ตามจับและกวาดล้างบรรดากลุ่มที่ร่วมขบวนการนี้ถึง 7,000 คน ในจำนวนนั้นมี 2,000 คนถูกตัดสินประหารชีวิต โดยบางคนถูกแขวนคอตายอย่างช้าๆ โดยใช้สายเปียโน และมีการถ่ายหนังเก็บให้ฮิตเลอร์ดูด้วย และการกวาดล้างกลุ่มต่อต้านยังดำเนินต่อไปจนกระทั้งเยอรมันีแพ้สงครามในอีก เก้าเดือนต่อมา

    Axis creed

    Freebacklinks